พลเอกวิชญ์ รับพร้อมกลับไปนั่งที่ประธานที่ปรึกษา พล.อ.ประวิตร เตรียมเข้าร่วมประชุมใหญ่พรรค พรุ่งนี้ ลั่น ตั้งใจมาช่วยงาน ไม่เป็น กก.บห.และลง ผู้สมัครบัญชีรายชื่อ
พลเอกวิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา หัวหน้าพรรครวมแผ่นดิน (ร.ผ.ด.) เตรียมสมัคร เข้าเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ตามคำเชิญของพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ โดยพลเอกวิชญ์ จะ เข้าร่วมการประชุมใหญ่สามัญประจำปีของพรรคพลังประชารัฐในวันพรุ่งนี้ด้วยตนเอง ซึ่งอาจจะเป็นโอกาสสำคัญที่จะยื่นใบสมัครเข้าร่วมเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐด้วย
พลเอกวิชญ์ เปิดใจว่า ต้องการเข้ามาช่วยงานพลเอกประวิตร ในการเลือกตั้งครั้งหน้า และจะกลับมาเป็นประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคพลเอกประวิตร เท่านั้นโดยจะไม่ขอรับตำแหน่งกรรมการบริหารพรรค หรือร่วมลงสมัครรับเลือกตั้งระบในบัญชีรายชื่อ แต่อย่างใดด้วย
พร้อมเห็นว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าที่จะมีขึ้นมีความสำคัญเนื่องจากจะเป็นช่วงเวลาที่ประชาชนจะพิจารณาเลือกบุคคลที่มีความเหมาะสมและทำประโยชน์ให้กับดูแลประชาชนมากกว่าที่จะดูเฉพาะ พรรค หรือ กระแสอย่างเดียว อีกทั้ง “เชื่อว่าการเลือกตั้งครั้ง จะเกิดการเปลี่ยนแปลง”
ทั้งนี้ พลเอกวิชญ์ ยังย้ำว่า พลเอกประวิตรมีความเหมาะสม ที่จะ เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ได้เพราะมี ประสบการณ์ ทั้งการรับราชการทหาร เสียสละ ทำงานให้กับบ้านเมือง และช่วยเหลือประคับประคองรัฐบาลมาโดยตลอด และเป็นคนทำงาน และทำงานร่วมกันมา 30 -40 ปี ก็เป็นตัวอย่างให้กับตนเอง โดยเฉพาะมีภาวะความเป็นผู้นำ ที่ดี ดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาและมีความตั้งใจ ทำงานการเมืองเพื่อลดความขัดแย้ง ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญ เนื่องจากบ้านเมือง หากยังจัดแยังแบ่งฝ่าย แบ่งขั้ว แบ่งสี ประเทศจะไปไม่ได้ ไปได้ไม่สุด เราต้องพยายามช่วยกัน วางอนาคตให้กับลูกหลาน เพราะความขัดแย้งยังอยู่ ต้องพูดคุยกัน ซึ่งปัญหาการแบ่งฝ่ายแบ่งพวก โดยขออย่ามองว่า พลเอกประวิตร สามารถพูดคุยดีลกับพรรคการเมืองต่างๆ ได้ หลังการเลือกตั้ง ใครก็แล้วแต่ที่ประชาชนเลือกเข้ามา ทุกคนก็สามารถทำได้ อย่าแบ่งฝ่ายแบ่งพวก ถือว่าเป็นเรื่องที่จะต้องดำเนินการให้กับบ้านเมือง
หากยังคงแบ่งฝ่ายแบ่งสีและแบ่งพวกจะไม่สามารถบริหารบ้านเมืองได้
ส่วนการแข่งขันบนสนามการเมืองระหว่างพลเอกประวิตรกับพลเอกประยุทธ์นั้น พลเอกวิชญ์ มองว่า
เป็นเรื่องธรรมดา ที่พลเอกประยุทธ์กับพลเอกประวิตรจะแข่งขันในสนามการเมืองกันอย่างเข้มข้นขับเคี่ยวแต่สุดท้ายแล้ว แต่ความเป็นพี่น้องไม่มีวันจืดจาง ไปได้ไม่ว่าจะเป็นพี่น้อง 2 ป หรือ พี่น้อง 3 ป ซึ่งก็รู้จักมานาน ไม่มีทาง เพราะอยู่ทำงานร่วมงาน ร่วมเป็น ร่วมตายกันมา ในชายแดน ไม่มีใครทิ้งใคร ความเป็นผู้นำ ความเป็นทหาร มันมีสายโลหิตอยู่ในนั้นเต็มตัว แต่ทางด้านความคิดเห็นต่างมันมีแน่นอน อย่าได้มองเป็นความขัดแย้ง ความเป็นพี่น้องรักกัน 100% และขณะเดียวกันก็ถือว่าเป็นโอกาสที่ดี ที่จะเลือกผู้นำประเทศ ขึ้นกับการพิจารณาของประชาชน ที่จะเลือกผู้นำของตัวเอง แต่สำคัญต้องเลือกคนนำประเทศต่อไปได้ โดยเอาอดีต ผลงานมาพิจารณา ก็จะเห็นชัดเจนถึงความเหมาะสม