“พิชัย” ชี้ “ประยุทธ์” ปัญหารุมเร้า

Highlight, สังคม
18 ธันวาคม 2020

“พิชัย” ชี้ “ประยุทธ์” ปัญหารุมเร้า ห่วง คนไทยจะตายจาก ฝุ่นPM 2.5 พิษเศรษฐกิจ หรือ โควิด แนะ ต้องคิดล่วงหน้าไม่ใช่ตามแก้

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ด้านเศรษฐกิจ ได้ไปหาเสียง นายก อบจ. ที่จังหวัดเชียงใหม่ ให้กัน นายพิชัย เลิศพงศ์อดิศร เบอร์ 1 พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ปัจจุบันรัฐบาลพลเอกประยุทธ์มีปัญหาหลายด้านรุมเร้าและถูกวิจารณ์อย่างมาก ทั้งเรื่อง ฝุ่น PM2.5 เรื่อง “คนละครึ่ง” “เที่ยวด้วยกัน”ปัญหาการทุจริตที่ ปปช. เปิดเผย ปัญหาจะไปดวงจันทร์ทั้งที่คนจะอดตาย ปัญหาค่าเงินบาทแข็งทั้งที่เศรษฐกิจย่ำแย่ อีกทั้งความพยายามแก้ตัวเรื่องหนี้ที่จะพุ่งทะลุในปีหน้า โดยอยากอธิบายดังนี้

 

ทั้งนี้ ปัญหาฝุ่น PM 2.5 กลับมาหลอกหลอนคนไทยอีกครั้งในปีนี้ ซึ่งตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็มีปัญหานี้มาตลอดและสถานการณ์ก็ย่ำแย่ขึ้นเรื่อยๆ พลเอกประยุทธ์กลับไม่มีแนวทางที่จะแก้ไข ทั้งๆที่มีคำแนะนำจากนักวิชาการหลายด้านและจากตนแต่กลับไม่ทำเลย เรื่องหนึ่งที่ตนได้เสนอมาหลายปีแล้ว คือการส่งเสริมการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าทดแทนรถยนต์ใช้น้ำมัน เพื่อจะลดฝุ่น อีกทั้งยังช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมรถยนต์พลังงานไฟฟ้าภายในประเทศให้เกิดขึ้นด้วย เป็นต้น ดังนั้นจึงอยากให้รัฐบาลได้เร่งแก้ไขอย่างจริงจัง

 

ปัญหาโครงการ “คนละครึ่ง” ช่วยเหลือประชาชนที่กำลังลำบาก แม้จะเป็นนโยบายที่คนสนใจกันมาก แต่ก็มีปัญหามาก เพราะแทนที่จะให้กับทุกคนกลับให้คนเข้าไปแย่งกัน ซึ่งทำให้ประชาชนจำนวนมากไม่สามารถลงทะเบียนได้ อีกทั้งคนที่ไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีก็ไม่สามารถลงทะเบียนได้เช่นกันโดยเฉพาะผู้สูงอายุ ดังนั้นจึงอยากให้รัฐบาลเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงได้อย่างทั่วถึง เพราะสุดท้ายประชาชนทุกคนจะต้องร่วมใช้หนี้นี้ร่วมกันจากเงินที่กู้มาแจกนี้ ส่วน โครงการ “เที่ยวด้วยกัน” ก็ปรากฏมีการทุจริตจำนวนมากจนต้องหยุดโครงการชั่วคราว

 

เมื่อพูดถึงการทุจริตก็ต้องโยงไปถึงเรื่องที่ ปปช. ออกมาแถลงว่ามีการทุจริตเกือบ 3 แสนล้านบาท ซึ่งสร้างความสั่นสะเทือนรัฐบาลอย่างมาก ทั้งที่ ปปช. เป็นกลุ่มคนที่รัฐบาลเลือกขึ้นมาเอง โดยเชื่อว่าเมื่อไหร่พลเอกประยุทธ์หมดอำนาจ ข้อมูลการทุจริตจะปรากฏเพิ่มขึ้นอีกมาก และการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่จะเกิดขึ้นเร็วๆนี้ ก็จะมีการเปิดเผยข้อมูลการทุจริตให้ได้ทราบกัน

ทั้งโครงการ “คนละครึ่ง” และ “เที่ยวด้วยกัน” จะเป็นนโยบายเพื่อช่วยประชาชนเพียงชั่วคราวเท่านั้น เหมือนโครงการ “ชิมช้อปใช้” ในอดีต ที่ใช้แล้วก็หมดไป ไม่ได้สร้างรายได้ที่ถาวรและไม่ได้เสริมศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ อีกทั้งประโยชน์ต่อจีดีพีจะมีน้อยมากเพราะเป็นเงินจำนวนน้อยมากเมื่อเทียบกับจีดีพี อีกทั้งยังจะทำให้รัฐบาลก่อหนี้เพิ่มมากขึ้น แต่ไม่ได้แก้ปัญหาพื้นฐานของประเทศที่ขาดการลงทุน และ การส่งออกทรุด แต่อย่างใด แถมปัจจุบันค่าเงินบาทยังแข็งค่ามาก แต่รัฐบาลกับแบงค์ชาติกลับไม่ทำอะไร ยิ่งจะทำให้เศรษฐกิจทรุดหนักลงอีก ย้อนแย้งกับที่นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว. คลัง ที่ประกาศก่อนหน้านี้ว่าจะต้องเลิกแจกเงิน แล้วมุ่งพัฒนาเศรษฐกิจไม่ใช่เอาแต่เยียวยา

 

ในขณะที่ประชาชนกำลังลำบากกับภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ แถมยังมาเจอฝุ่น PM2.5 แต่รัฐมนตรีในครม.พลเอกประยุทธ์กลับวาดฝันจะส่งยานอวกาศไปโคจรรอบดวงจันทร์ภายใน 7 ปี ซึ่งย้อนแย้งกับความรู้สึกของประชาชนที่กำลังลำบากอย่างมาก ประชาชนสิ้นหวังไม่แน่ใจว่าตัวเองจะตายจาก ไวรัสโควิด พิษเศรษฐกิจ หรือ ฝุ่นPM2.5 อะไรก่อนกัน แต่รัฐบาลกลับมีปัญญาคิดนอกกรอบได้แค่จะส่งยานอวกาศไปโคจรรอบดวงจันทร์

 

กรอบคิดเพียงเท่านี้จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ เพราะพลเอกประยุทธ์ขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องเศรษฐกิจและการมองล่วงหน้า แม้กระทั่งเรื่องหนี้สาธารณะก็ยังพยายามเถียงว่าในปัจจุบันมีหนี้แค่ 7.848 ล้านล้านบาท หรือ 49.34% โดยไม่ได้มองว่าในอนาคต รัฐบาลยังจะต้องกู้เงินอีกมาก วงเงินช่วยเหลือประชาชน 1 ล้านล้านบาท ยังกู้มาใช้ไม่ถึงครึ่งหนึ่งและคงต้องกู้อีก อีกทั้งงบประมาณปี 64 จะขาดดุลอีก 6.3 แสนล้าน การจัดเก็บภาษีปีนี้น่าจะขาดประมาณ 2-3 แสนล้านบาท และการจัดเก็บภาษีในปีหน้าก็น่าจะจัดเก็บได้ขาดอีก จีดีพีปีนี้ก็จะติดลบ ดังนั้นหนี้สาธารณะต่อจีดีพีในปีหน้าจะพุ่งสูงมาก ดังนั้น รัฐบาลต้องมองล่วงหน้าในทุกเรื่องไม่ใช่คิดแต่จะอ้างตัวเลขช่วงนี้ โดยไม่มองเห็นอนาคต ซึ่งเป็นแบบนี้มาตลอด 6 ปี ประเทศถึงไม่ได้พัฒนาเลย

 

หากจำกันได้ ตนได้เคยเตือนมาตลอดว่าประเทศไทยโชคไม่ดีที่มีปัญหาทางการเมืองในช่วงที่โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งหากพลเอกประยุทธ์ยังมีกรอบคิดเหมือนเดิม ที่ปรับตามโลกไม่ทัน เศรษฐกิจไทยจะย่ำแย่และล้าหลังอย่างรวดเร็วมาก ประเทศไทยจะตกยุคอย่างไม่ทันรู้ตัว และประชาชนจะยิ่งลำบากกันอีกมาก ซึ่งเชื่อว่าตอนนี้คนจำนวนมากเริ่มรู้สึกกันแล้ว และหวังว่าผลการเลือกตั้ง นายก อบจ. จะเป็นการส่งสัญญาณความไม่พอใจของประชาชนให้ไปถึงพลเอกประยุทธ์ได้

บทความที่เกี่ยวข้อง