“พิชัย” ติง รัฐบาลเลิกขายฝันแบบ “สมคิด” ที่ทำไม่ได้จริง เพราะ เศรษฐกิจยังย่ำแย่หนัก คนตกงาน และ หนี้เสียจะเพิ่มมาก แนะ คิดได้แค่แจกเงินก็เหมือนเอายาแก้ปวดไปรักษาโรคมะเร็ง ชี้ ขนาดทูต 5 ประเทศต้องออกมาเตือน
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยด้านเศรษฐกิจ แถลงข่าวที่พรรคเพื่อไทยว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3 ยังคงย่ำแย่และติดลบอย่างต่อเนื่องที่ – 6.4 % ซ้ำเติมจาก ไตรมาสสองที่ติดลบถึง – 12.2% แม้จะติดลบลดลงแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเศรษฐกิจไทยจะพ้นจุดต่ำสุด ตามที่ทีมเศรษฐกิจรัฐบาลโดยนาย สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกฯ และ รมว. พลังงาน นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว. คลัง พยายามให้ข้อมูลกับประชาชนในสัปดาห์ที่ผ่านมา และน่าจะเป็นความเข้าใจผิดอย่างรุนแรง หรือ อาจจะตั้งใจให้เข้าใจว่าเศรษฐกิจไทยไม่ได้แย่อย่างที่เป็นอยู่
ทั้งนี้เศรษฐกิจไทยยังคงติดลบมากที่สุดในเอเชียตะวันออก สวนทางกับที่นายสุพัฒนพงษ์พยายามที่จะปฏิเสธ และเศรษฐกิจไทยแม้จะติดลบลดลงแต่ยังไม่ผ่านจุดต่ำสุดและจะยังย่ำแย่ลงต่อไปอีก จาก ธุรกิจที่จะปิดตัวมากขึ้น จำนวนคนว่างงานที่จะเพิ่มขึ้นอีกมาก และ หนี้เสียธนาคารที่จะพุ่งขึ้นอีก ทั้งนี้อยากให้นายสุพัฒนพงษ์ และ นายอาคมได้ไปอ่านบทวิเคราะห์ของ เดอะวอลล์ สตรีท เจอร์นัล และ นิคเคอิ เอเชีย ที่บอกเศรษฐกิจไทยจะแย่ยิ่งกว่าสมัยต้มยำกุ้งเสียอีก
ทั้งนี้ไม่อยากให้นายสุพัฒนพงษ์ และ นายอาคมพยายามขายฝันเหมือนที่นายสมคิดได้เคยทำและล้มเหลวมาแล้ว การที่พยายามจะบอกว่าการลงทุนจากต่างประเทศจะเข้ามาในปี 2564 และลงทุนจริงในปี 2565 ไม่น่าจะเป็นไปได้ ถ้าพลเอกประยุทธ์ยังคงเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะที่ผ่านมา 6 ปีกว่า การลงทุนได้หายไปหมด เหตุผลอะไรถึงจะทำให้พวกเขาเปลี่ยนใจได้ และนายสมคิดก็บอกแบบนี้ทุกปีแต่ไม่เคยเกิดขึ้นจริง อีกทั้งนายสุพัฒนพงษ์เองก็ไม่ได้มีบารมีเท่ากับนายสมคิดที่ได้ล้มเหลวไปแล้ว แค่เรื่องที่นายสุพัฒนพงษ์และนายอาคมคิดว่า “ชิมช้อปใช้” “คนละครึ่ง” “ช้อปดีมีคืน” จะสามารถฟื้นเศรษฐกิจได้ก็เป็นความคิดที่ผิดแล้ว แค่คิดแจกเงินแล้วเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นก็เหมือนกับการให้ยาแก้ปวดแล้วคิดว่าจะรักษาโรคมะเร็งได้ เพราะโครงการดังกล่าวเป็นเพียงแค่นโยบายของเล่นเพื่อหาเสียงเท่านั้น แต่จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้เลย เหมือนที่ทีมนายสมคิดทำมาก่อนเช่น ชิมช้อปใช้ เที่ยวแล้วคืนเงิน เพราะสัดส่วนต่อจีดีพีจะมีน้อยมาก ถ้าหวังเพียงแค่นี้คงหมดหวังแน่
ส่วนที่ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่พูดถึงความมั่นคงของสถานะการเงินการคลังของไทยที่มีทุนสำรองต่างประเทศแต่ไทยยังจะมีปัญหาอีกมากก็น่าจะเป็นเรื่องจริง และอยากฝากให้ดูแลค่าเงินบาทที่ทำท่าจะแข็งค่าขึ้นเรื่อยๆ ส่วนเลขาสภาพัฒน์คนใหม่ก็คงพูดตามสคริปต์ เพราะก่อนหน้านี่ออกมาบอกคนจนของไทยลดลงซึ่งสวนทางกับความเป็นจริงที่เศรษฐกิจไทยย่ำแย่และติดลบ ซึ่งสวนทางกับความรู้สึกของคนอย่างมาก อีกทั้งยังสวนทางกับ รายงานของเลขาฯสภาพัฒน์คนเก่าที่เพิ่งจะเกษียณอายุไปที่บอกว่า คนจนของไทยในปี 60-63 มีปริมาณเพิ่มขึ้นมาก จึงแปลกใจว่ารายงานของสภาพัฒน์ เพียงต่างกันไม่กี่วันคนจนจากที่เพิ่มขึ้นกลายเป็นลดลงได้อย่างไร แถมรัฐบาลยังมีการแจกบัตรคนจนกว่า 14.6 ล้านคน ยิ่งสวนความจริงเข้าไปใหญ่
ล่าสุด ทูต 5 ประเทศทั้ง สหรัฐ อังกฤษ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และ เยอรมัน ได้ออกมาเรียกร้องรัฐบาล 10 ข้อ ซึ่งเป็นการเรียกร้องครั้งที่สองแล้ว หลังจากที่เรียกร้องครั้งแรกเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งหากประเทศคู่ค้าหลักของไทยต้องแสดงความเป็นห่วงและต้องแนะนำไทยถึง 2 ครั้งในเวลาไม่กี่เดือน ก็แสดงว่า รัฐบาลน่าจะมีปัญหาในการบริหารประเทศอย่างมากแล้ว แนวทางที่แนะนำก็เหมือนกับที่ตนได้แนะนำมานานแล้ว คือการปรับเปลี่ยนระบบราชการไทยให้เป็นระบบดิจิตอลทั้งหมด หรือ Digitalization ซึ่งจะทำให้เกิดความโปร่งใส สะดวกและไม่ซ้ำซ้อน อีกทั้ง ยังช่วยให้ลดการทุจริตคอรัปชั่นได้อย่างมาก และยังลดขนาดราชการของประเทศไทยลงซึ่งเป็นทิศทางของโลกในปัจจุบัน
ถ้าพลเอกประยุทธ์และทีมเศรษฐกิจยังยึดติดอยู่ในกรอบเดิม และเพียงคิดแต่จะหลอกประชาชนไปวันๆว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น แต่ไม่ได้ดีจริง พลเอกประยุทธ์จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้เลย และคนจะลำบากกันอีกมาก ถ้ามีความรู้ความสามารถเพียงเท่านี้ก็ไม่ควรจะบริหารประเทศต่อไปแล้ว เพราะประชาชนที่ลำบากจะออกมาไล่รัฐบาลกันมากยิ่งขึ้น