นายดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยในงาน The Vision for the NEXT Normal ว่า ทั้งนี้ประเมินว่า หากเกิดการระบาดของโควิด-19 รอบ 2 และกดดันให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงจากเดิม อาจเห็นปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในอนาคต และภาครัฐอาจต้องเตรียมรับมือเพิ่มเพราะเงินกู้ 1 ล้านล้านอาจไม่เพียงพอ ซึ่งจะส่งผลให้เพดานหนี้สาธารณะของไทยเกินเพดานที่ 60% ต่อจีดีพีได้

ทั้งนี้เบื้องต้น ธปท. ยังมองอัตราการเติบเศรษฐกิจปีนี้ ติดลบ 8.1% จากการปิดล็อคดาวน์ช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 ส่งผลกระทบกิจกรรมเศรษฐกิจหยุดชะงัก

โดยไทยยังพึ่งพาเศรษฐกิจจากต่างประเทศจำนวนมาก เช่น การท่องเที่ยวโดยปีนี้คาดการณ์ว่าจะเหลือนักท่องเที่ยว 8 ล้านคน หรือหายไป 80% ซึ่งนักท่องเที่ยวคิดสัดส่วนเป็น 9% ของจีดีพี ซึ่งการแพร่ระบาดโควิดรอบ2 ต้องจับตาความรุนแรงว่ามากน้อยเพียงใด ซึ่งหากภาพรวมการปิดล็อคดาวน์เกิดขึ้นเป็นครั้งที่2 ภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลกช่วงไตรมาส2/63 อาจไม่ใช่จุดต่ำสุด

ด้านตัวเลขเงินเฟ้อแม้จะติดลบมาประมาณ 4 เดือน แต่ภาพรวมยังไม่เข้าสู่ภาวะเงินฝืด เนื่องจากการติดลบเกิน 3 เดือนและกลายเป็นภาวะเงิดฝืดจะต้องเห็นภาพรวมราคาสินค้าลดลงในทุกหมวด ไม่เฉพาะเพียงกลุ่มพลังงานที่เห็นเท่านั้น นอกจากนี้การติดลบของเงินเฟ้อจะต้องยาวนานอย่างน้อยเป็นระดับ 1 ปี แต่ธปท.ยังมองทิศทางภาวะเงินเฟ้อปีหน้าเป็นบวก 0.9%

สำหรับภาพรวมธนาคารพาณิชย์ในปัจจุบันมีหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) อยู่ที่ระดับประมาณ 3% และฐานะการเงินยังเข้มแข็งรองรับ NPL ได้ ส่วนมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟต์โลน) วงเงิน 5 แสนล้านบาทของธปท. ในปัจจุบันสามารถปล่อยได้เพียง 1 แสนล้านบาท ซึ่งยังช้ากว่าที่ควรโดยธปท.ได้เข้าไปหารือกับสมาคมธนาคารไทย และภาครัฐเพื่อเร่งนำกลไลเข้ามาช่วยเสริม

• Facebook
• Twitter
• Line