นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส. บัญชีรายชื่อรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อนที่จะลงมติรับหลักการนั้นว่า ไม่ได้เป็นการยื้อเวลา และไม่มีใบสั่งพร้อมย้ำว่าพรรคพลังประชารัฐมีความจริงใจในการแก้ไข การเสนอตั้งคณะกรรมาธิการเป็นไปตามข้อบังคับการประชุมข้อที่ 121 วรรค 3
เชื่อว่า กมธ.ชุดนี้ ใช้เวลาไม่นานเพื่อพูดคุยให้เกิดความเข้าใจระหว่างกัน เพราะที่ผ่านมา ส.ว.ไม่เข้าใจต่อญัตติการแก้ไข รัฐธรรมนูญของพรรคฝ่ายค้านที่มีการยื่นเพิ่มเติมมา 4 ญัตติ และมีการเร่งพิจารณาเพื่อลงมติ การตั้งกมธ.เพื่อศึกษา 30 วัน เป็นผลดี เป็นการพบกันครั้งแรกทั้งสองฝ่ายส่วนที่ฝ่ายค้านไม่ขอร่วมเป็น กมธ. นายไพบูลย์ระบุว่าไม่เป็นไร สามารถเดินหน้าทำงานต่อได้และเมื่อครบกำหนด 30 วันจะนำผลการศึกษาเสนอต่อที่ประชุมรัฐสภา
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าการเสนอตั้ง กมธ.แสดงถึงความไม่จริงใจหรือไม่เพราะไม่มีการตกลงต่อที่ประชุมของวิปทั้งสามฝ่ายก่อนหน้านี้ นายไพบูลย์ระบุว่า พรรคพลังประชารัฐคิดมานานแล้ว แต่ไม่จำเป็นที่จะต้องพูดทุกอย่าง มีแผนที่จะนำไปสู่เป้าหมายในการแก้รัฐธรรมนูญ
พร้อมยังกล่าวถึง ฝ่ายค้านว่า “ไม่เข้าใจฝ่ายค้านว่าทำไมถึงโลกสวย ไม่มองตามข้อบังคับการประชุมที่เขียนชัดเจน ไม่ทราบว่าฝ่ายค้านอ่านไม่ออกหรือว่าอย่างไร ยืนยันการเสนอตั้ง กมธ.ชุดนี้ไม่มีการชี้นำจากใครเพราะมีการเตรียมแผนสำรองนี้ไว้แล้ว ฝ่ายค้านไม่เคยมาประชุมร่วมในประเด็นนี้กับ ส.ว. และยังไปด่าเขาด้วยใครเขาจะมายกมือให้”
เมื่อถามว่าพรรคพลังประชารัฐ เห็นด้วยกับ
5 ญัตติของฝ่ายค้านหรือไม่หากไม่มีการปรับแก้ และเสนอเข้าไปพิจารณาสมัยประชุมหน้า นายไพบูลย์ระบุว่า “ปกติผมก็ไม่เคยเห็นด้วยกับฝ่ายค้านอยู่แล้ว”
นายไพบูลย์ยังกล่าวถึงกลุ่มผู้ชุมนุมที่มาเรียกร้องและกดดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่รัฐสภาเมื่อคืนนี้ ว่า”เป็นการคิดเองเออเองตามที่ตัวเองออกแบบไว้เปรียบเสมือนเป็นการนำมวลชนมากดดันและนำไปขยายผล รู้ทันกลุ่มผู้ชุมนุม เพราะเป็นขบวนการแบบง่ายๆ”
เมื่อถามว่าการตั้ง กมธ.เป็นการเพิ่มอุณหภูมิทางการเมืองของผู้ชุมนุมหรือไม่ นายไพบูลย์ระบุว่า
“เขาอยากเพิ่มอยู่แล้วผมก็เห็นว่าผู้ชุมนุมก็มีอยู่ไม่เท่าไหร่ แต่ไปอ้างว่าไปเป็นประชาชนทั้งประเทศ และผมก็ผ่านการชุมนุมมาเยอะจึงเห็นว่าการชุมนุมที่เกิดขึ้นนี้มันเล็กมากไม่มีผลอะไรต่อการตัดสินใจทั้งสิ้น การแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นต้องยึดผลประโยชน์ของประเทศและประชาชนเป็นหลัก และมองว่ากลุ่มผู้ชุมนุมเปลี่ยนเป้าหมายในการเรียกร้อง เป็นเพียงกลุ่มที่ต้องการแย่งชิงอำนาจรัฐเท่านั้น ไม่ได้เรียกร้องสิทธิเสรีภาพตามปกติต้องการเป็นใหญ่ใช้เหตุการณ์การชุมนุมเมื่อวานนี้เป็นการจุดชนวนที่จะมีการชุมนุมใหญ่ในวันที่ 14 ตุลาคม”