นายสุทิน คลังแสง ประธานวิปฝ่านค้าน กล่าวถึงการพูดคุยกับ ส.ว. ในการเห็นชอบรับหลักการการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะเข้าประชุมรัฐสภาในวันที่ 23-24 ก.ย. นี้ว่า ส่วนตัวคิดว่า ไม่จำเป็นต้องไปคุยอะไรมาก เพราะมันไม่ใช่ผลประโยชน์ของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด แต่มันคือผลประโยชน์ของประเทศ และสังคม ย้ำว่าวันนี้การแก้รัฐธรรมนูญ ต้องแก้เพื่อสังคม ไม่ใช่แก้แล้ว ส.ส. จะได้ หรือ ส.ว. จะเสีย คงไม่ต้องไปเสียเวลางอนง้ออะไรกันมากมาย
ส่วนญัตติทั้ง 6 ฉบับจะผ่านความเห็นชอบในขั้นรับหลักการทั้งหมดเลยหรือไม่ ส่วนตัวไม่สามารถประเมินได้ แต่หากประเด็นใดเห็นตรงกันก็ร่วมกันได้เลย หลักใดที่มีหลักการตรงกัน ก็สามารถพิจารณาพร้อมกันได้ เช่น ญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ ม.265 ของวิปทั้ง 2 ฝ่าย (ฝ่ายค้าน-ฝ่ายรัฐบาล) ควรนำมาพิจารณาก่อน ถามต่อหาก 6 ญัตติไม่ผ่านในวาระรับหลักการ นายสุทิน ระบุว่าก็จะยื่นอีกในสมัยหน้า ฉะนั้นก็ต้องพยายามทำให้สำเร็จ
ส่วนกรอบระยะเวลานั้น วันแรกก็ควรพิจารณาให้แล้วเสร็จในญัตติที่มีหลักการเดียวกัน และญัตติที่เหลือก็เป็นในวันถัดไป ซึ่งการลงมตินั้น จะต้องมีการขานชื่อในการโหวต ตนจะเสนอในที่ประชุมร่วมทั้ง 3 ฝ่ายว่า อยากให้มีการโหวตแบบขานชื่อ แต่สามารถโหวตได้ในคราวเดียว ทั้ง 6 ญัตติ เช่น ตนชื่อนายสุทิน คลังแสง เห็นชอบในญัตติ 1 ไม่เห็นชอบในญัตติ 2 เห็นชอบในญัตติ 3 เป็นต้น ซึ่งการทำเช่นนี้ จะเป็นการประหยัดเวลาในการโหวต
กรณีในส่วนของภาคประชาชน จะเข้ามาเป็นกรรมาธิการคนนอกหรือไม่ ส่วนนี้จะมีการพูดคุยกันในที่ประชุมด้วย เพราะเมื่อศึกษาดูแล้ว หลักการใกล้เคียงกัน ตนก็อยากให้มาร่วมกัน ส่วนเนื้อสาระก็นำเข้าในชั้นแปลญัตติได้
ทั้งนี้การเปิดประชุมสมัยวิสามัญนั้น ในฐานะฝ่ายค้านมองว่า หลังจบพิจารณารับหลักการแล้ว จะยื่นขอเปิดประชุมวิสามัญทันที แต่ก็ต้องดูอีกทีว่า ให้กรรมาธิการในการพิจารณากี่วัน ถ้า 60 วัน ก็ต้องเปิดในสมัยหน้า แต่หากให้พิจารณาเพียง 14-15 วัน เวลาที่เหลืออีก 15 วัน ก็ควรจะเปิดประชุมสมัยวิสามัญได้