“จตุพร”แจงเสาร์ที่ 9 ม.ค.นี้ พีซทีวีพร้อมหมู่มิตรลงขันตั้งโรงครัวทำข้าวกล่องแจกฟรีทุกมื้อเที่ยง เผยทำไปแจกชุมชนตามโอกาสอำนวยด้วย พร้อมตั้งโครงการส่งพี่น้องผู้ทุกข์ยากได้กลับบ้าน ตจว.อีก วอน จนท.เข้าใจ ยันไม่มีการเมือง เป็นเพียงน้ำใจคนเล็กๆต้องการช่วยสังคมในยามวิกฤต คนเดือดร้อน หิวโหย
เมื่อ 7 ม.ค. 2564 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เฟชบุ๊คไลฟ์ peace talk โดยแจ้งถึงโครงการ”ไทยช่วยกัน ทำอาหารแจกหน้า Peace TV ทุกเที่ยงวัน” เพื่อช่วยให้สังคมได้อยู่รอดร่วมกันจากสถานการณ์โควิดระบาดหนักขึ้น
นายจตุพร กล่าวว่า สถานีพีซทีวี ร่วมกับหมู่มิตรและผู้ใหญ่ในสังคมช่วยกันลงขันมาร่วมกันจัดโครงการไทยช่วยกันฯ เพื่อแจกอาหารกล่องทุกมื้อเที่ยงทุกวันและบางวันจะไปแจกตามชุมชนตามโอกาสเอื้ออำนวย โดยเริ่มเสาร์ที่ 9 ม.ค.นี้ ที่สถานีพีซทีวี รามอินทราซอย 40 แยก 33/1
พร้อมทั้งยืนยันว่า โครงการแจกอาหารไม่มีการเมือง ส่วนจะไปพื้นที่ใดนั้นจะแจ้งให้เจ้าหน้าที่รับรู้ตามลำดับ พร้อมมีโครงการส่งพี่น้องกลับบ้านต่างจังหวัดด้วย
“เราเป็นคนเล็กๆ อยู่ท่ามกลางความยากลำบาก จึงเข้าใจความหิว และเชื่อว่าโครงการที่ทำนี้เป็นสิ่งที่ดีเพื่อให้กำลังใจกัน และเป็นกำลังเล็กๆเพื่อช่วยสังคมให้อยู่ได้ และจะเป็นความสุขหนึ่งที่เราจะได้ร่วมกันทำ เราขอให้ช่วยกัน เพราะเราจะอยู่ได้ ผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปด้วยกันได้”
ส่วนการไปแจ้งความที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) นั้น นายจตุพร กล่าวว่า ตนพร้อมพิสูจน์ข้อกล่าวหา โดยยืนยันมาตลอดว่า การใส่ความเพื่อล้มตนจะชนะได้ต้องใช้ความจริงเท่านั้น การเอาความเท็จมาใส่ร้ายจะล้มตนไม่ได้แน่นอน
“ข้อกล่าวหาย้ายขั้ว สลับข้าง ทรยศต่อการต่อสู้นั้น ผมยอมรับไม่ได้ อีกอย่างการนำเรื่องโกหก เป็นเท็จมากล่าวหานั้น อย่าว่าแต่เป็นคนเสื้อแดงเลย เป็นคนก็ไม่ได้”
นายจตุพร ยืนยันว่า ตนไม่ได้ห้ามวิจารณ์ แต่การวิจารณ์ใส่ร้ายด้วยข้อความเป็นเท็จนั้น ตนยากจะยอมรับได้ ซึ่งคดีความเกี่ยวกับ พรบ.คอมพิวเตอร์ จะเร็วกว่าคดีอื่น ดังนั้น พวกใส่ร้ายต้องพิสูจน์ในสิ่งที่กล่าวหาอันเป็นเท็จนั้นให้ได้ รวมทั้งใครยังไม่หยุดก็เตือนไว้ก่อนจะถูกฟ้องเช่นกัน เพราะเป็นวิธีทางสุดท้ายแล้ว ซึ่งตนทนไม่ได้ มันเหลืออดจริงๆ เพราะการใช้ความเท็จมาใส่ร้ายกัน ถือเป็นการทำลายล้างอย่างที่ไม่ควรจะเป็น
อีกทั้ง กล่าวถึงการระบาดโควิดว่า แพร่อย่างรวดเร็วมาก จนเกิดกังวลจะทำลายเศรษฐกิจให้ย่อยยับหนักกว่าการระบาดรอบแรก ทั้งที่รัฐบาลควรมีบทเรียนสำคัญมาแล้ว แต่เมื่อการระบาดรอบสองมาจากบ่อนการพนันและการค้าแรงงานชายแดน จึงแสดงถึงตำรวจและทหารฝ่ายความมั่นคงบกพร่อง
สิ่งสำคัญในปัญหาเฉพาะหน้านั้น รัฐบาลควรคำนึงถึงปัญหาความอดอยาก หิวโหย รัฐบาลต้องหาทางรักษาชีวตผู้คนในด้านนี้โดยเร็ว และต้องแสดงความรับผิดชอบ เพราะคราวนี้ไม่รู้สถานการณ์จะทรุดไปถึงขั้นไหน
อีกอย่าง สถานการณ์ขณะนี้ การรักษา หาวัคซีนมาป้องกันโควิดนั้น ใครสะดวกหามารักษาในช่องทางไหนรัฐไม่ควรเป็นอุปสรรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนไทยทุกอาชีพต้องช่วยกัน อย่าเอาแต่เรียกร้องให้ประชาชนเสียสละ เพื่อให้พ่อค้าผู้เกี่ยวข้องกับรัฐบาลได้ประโยชน์ฝ่ายเดียว
“ความบกพร่องมาจากรัฐบาลในฐานะบังคับกลไกราชการ ซึ่งไม่ใช่ความผิดของคนนอก เมื่อกลไกตำรวจ-ทหารบกพร่อง จึงเกิดเรียกร้องให้ปฏิรูประบบราชการดังขึ้นอีกครั้ง รวมทั้งการปฏิรูประบบแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยทำให้ตรงๆ ง่ายๆ ไม่สลับซับซ้อนจะทำกันอย่างไร เพราะไทยขาดแรงงานประเทศเพื่อนบ้านไม่ได้”
ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี บอกมีเงินดูแล 40 ล้านคนนั้น นายจตุพร กล่าวว่า หมายถึงอะไร หมายถึงจะเอาเงินมาเยียวยาคนใช่หรือไม่ เพราะยามวิกฤตคนขาดรายได้ จะมีความหิวโหย ซึ่งคนไม่เคยสัมผัสจะไม่รู้เรื่องความหิวเลย แต่คนจนรับรู้อย่างซาบซึ้งยิ่ง
นอกจากนี้ รัฐบาลควรเตรียมการด้านสุขภาพจิต เพราะจากนี้ไปคนจะหวั่นวิตกอย่างมาก จะเกิดการฆ่าตัวตาย ลักวิ่งชิงปล้นกันมาก เมื่อรัฐพยายามหลีกเลี่ยงการล็อกดาวน์ ก็ต้องรับผิดชอบคนด้วย โดยด้านหนึ่งสามารถเรียกร้องให้เจ้าสัวลดราคาสินค้าลงมาช่วยให้คนได้มีกินในยามเดือดร้อน และช่วยให้ทุกคนรอดไปด้วยกัน
“ภายใต้สถานการ์ที่ยุ่งยากเช่นนี้ ไม่ใช่เครื่อมือต่ออายุรัฐบาลเลย ถ้าแก้ปัญหาไม่ได้ ผมเชื่อว่ายิ่งจะทำให้อายุสั้นลง ดังนั้น วิกฤตนี้จึงเป็นโอกาสที่จะทำงานให้เต็มที่ จึงจะคนได้รับรู้ถึงศักยภาพ ได้รับเสียงชื่นชม ส่วนการสั่งย้ายตำรวจโดยลงโทษจากบ่อนการพนันนั้น ผมว่าไม่ใช่หนทางแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ”