นายรังสรรค์ มณีรัตน์ ส.ส.ลำพูน พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาเกษตรกรชาวสวนลำไยเดือดร้อนหนัก ทั้งนี้เพราะส่วนหนึ่งรัฐบาลทอดทิ้งไม่ให้ความสำคัญกับเกษตรกร แต่ไปให้ความสำคัญกับผู้ค้าที่รับซื้อลำไย หรือ ล้ง มากกว่า รัฐบาลช่วยเหลือราคารับซื้อของพ่อค้า โดยใช้งบประมาณ 250 ล้านบาท ไปสนับสนุนพ่อค้าลำไย อ้างว่าให้พ่อค้านำไปช่วยเกษตรกร หากซื้อไปจำหน่ายในประเทศอุดหนุนที่กิโลละ 3 บาท แต่หากซื้อไปขายต่างประเทศอุดหนุนกิโลล่ะ 5 บาท โดยให้พ่อค้าที่รับซื้อรับไยไปปรับราคารัฐซื้ออลำไยจากเกษตรกร ในความเป็นจริงเงินจำนวนนี้ไม่ถึงมือเกษตรกรไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม เพราะพ่อค้าไม่ยอมที่จะนำเงินที่ได้มาจากรัฐมาสนับสนุนราคายำไยแน่นอน จึงเป็นเงินที่รัฐบาลให้เปล่ากับพ่อค้า โดยไม่ช่วยเหลือเกษตรกรแต่อย่างใด เหตุผลที่ราคาลำไยตกต่ำลงเพราะกระทรวงพาณิชย์ปล่อยให้พ่อค้ารายใหญ่ไม่กี่เจ้าเป็นผู้กำหนดราคา ที่ผ่านมามีพ่อค้าที่ซื้อเคยซื้อลำไยจากเกษตรกรประมาณ 200 ราย ต้องการเดินทางมาซื้อลำไย โดยตรงจากเกษตรกร แต่ไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาล อ้างดควิด-19 แต่ในช่วงเดียวกันรัฐบาลจากต่างประเทศเข้ามาฝึกในประเทศไทย รัฐบาลต้องมีคำตอบให้เกษตรกร เพราะมีคนซื้อสินค้าแต่รัฐไม่ให้เขาไปซื้อ
นายรังสรรค์ กล่าวต่อว่า กรณีที่กระทรวงเกษตรกรและสหกรณ์จะนำกรณีเรื่องการชดเชยเพื่อเยียวยาบรรเทาความเดือดร้อนให้เกษตรกรผู้ปลูกลำไยที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ในอัตราไร่ละ 2,000 บาท รายละไม่เกิน 25 ไร่ นั้น อยากให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทำอย่างจริงใจอย่าพูดแบบขอไปที เพราะเกษตรกรชาวสวนลำไยได้รับผลกระทบหนักมาก หากช่วยเหลือจริงเชื่อว่าจะสามารถเบาเทาความเดือดร้อนจากพี่น้องเกษตรกรได้อย่างแน่นอน รวมทั้งเป็นทุนในการทำสวนลำไยในฤดูกาลต่อไปได้
“กระทรวงพาณิชย์ต้องทำงานจริงจังในการขยายตลาดลำไยไม่ควรผูกขาดที่จีน เพื่อเป็นการสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร เพราะในแต่ละปีลำไยสร้างมูลค่าการส่งออกให้ประเทศไทยมากกว่า 40,000 ล้านบาทต่อปี ถ้ารัฐบาลจริงใจและตั้งใจช่วยเกษตรกรจริงจะสร้างรายได้แต่ละปีมากกว่า 50,000 ล้านบาทแน่” นายรังสรรค์ กล่าว