นายชุมสาย ศรียาภัย รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่สังคมวิพากษ์วิจารณ์กรณีที่อัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้องคดีสำคัญในขณะนี้ว่า ตนเห็นว่ากระบวนการยุติธรรมไทยมาใกล้ถึงจุดวิกฤติศรัทธาแล้ว เพราะผู้คนในสังคมกังขาว่ามีการบังคับใช้กฎหมายอย่างบิดผัน (abuse) ทำให้ประชาชนทั้งในและต่างประเทศสูญเสียความเชื่อมั่นในฐานะเป็นที่พึ่งสุดท้ายแห่งความยุติธรรมของสังคม โดยเห็นว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องบังคับใช้กฎหมาย และตีความกฎหมายเพื่อประโยชน์ตนเองและพวกพ้อง ยิ่งกว่าประโยชน์แห่งความยุติธรรมและความสงบสุขโดยแท้จริง ซึ่งถือว่า เป็นความเหลื่อมล้ำในกระบวนการยุติธรรม ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
นายชุมสาย กล่าวอีกว่า ความยุติธรรมตามใบสั่ง เช่นนี้ดำรงอยู่ ในกระบวนการยุติธรรมไทยมาหลายทศวรรษ ที่การบังคับใช้กฎหมายถูกใช้เป็นเพียงเครื่องมือในการ พิทักษ์ประโยชน์แห่งผู้มีอำนาจไม่ใช่ประโยชน์แห่งความยุติธรรมตามที่ควรจะเป็น
“สำหรับการบังคับใช้กฎหมายในทางการเมืองและการบริหารประเทศ ได้มีการทำรัฐธรรมนูญโดยมีบทบัญญัตินิรโทษกรรมให้ตนเองกับพวกที่กระทำผิดกฎหมายบ้านเมืองอย่างชัดแจ้ง มีการตรากฎหมาย ขึ้นใช้เพื่อให้เป็นไปตามความประสงค์ของผู้มีอำนาจ มีการบังคับใช้กฎหมายในลักษณะสองมาตรฐานค่อนข้างชัดเจน
ส่งผลให้ หลักนิติรัฐ และหลักนิติธรรมพังทลายลง”
ขณะนี้เรามีคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ โดยเฉพาะด้านกระบวนการยุติธรรม ตนจึงขอเรียกร้องให้ ผู้มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องเร่งสังคายนาและปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมอย่างจริงจังทั้งระบบ ทำให้กระบวนการยุติธรรมไทยเป็นเสาหลักสำคัญของประเทศชาติ และเป็นที่พึ่งสุดท้ายของ ประชาชนอย่างแท้จริง
นอกจากนี้ นายชุมสาย ได้ขอยกคำกล่าว อมตะวาจาของอดีตประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา Thomas Jefferson. ว่า “When injustice becomes law resistance becomes Duty ” “เมื่อความอยุติธรรมกลายเป็นกฎหมาย การลุกขึ้นต่อต้านย่อมถือเป็นหน้าที่”